ต้องยอมรับเลยว่าโลกปัจจุบันทำให้การพบเจอคนโง่กลายเป็นเรื่องง่ายกว่าที่คิด อินเตอร์เน็ตทำให้คนโง่รวมตัวกันโดยมิได้นัดหมายเป็นจำนวนมากที่สุดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ เสียงของพวกเขาดังกระหึ่มอื้ออึงไปทั่วแผ่นดินเหมือนเสียงอึ่งอ่างร้องระงมในฤดูผสมพันธุ์ แม้แต่ผู้รู้ นักวิชาการ ผู้ทรงคุณวุติต่างก็ต้องเอือมระอากับการถกเถียงอันอวดฉลาดของคนโง่ที่โผล่มาอย่างไม่ขาดสาย คนโง่เหล่านี้มีจำนวนมากกว่าที่ใคร ๆ จะคาดคิด และที่น่าแปลกคือพวกเขามีความมั่นใจอันล้นปรี่ในมันสมองของตนซึ่งต่างกับความมั่นใจของเหล่าคนฉลาดราวฟ้ากับเหว
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นหรือ? เรามารู้จักเผ่าพันธุ์มนุษย์หน้าโง่นี้ด้วยกันเถอะ ผ่านหนังสือที่ชื่อว่า The Basic Laws of Human Stupidity แปลเป็นไทยว่ากฎพื้นฐานว่าด้วยความโง่เขลาของมนุษย์ มีอะไรกันบ้าง มาดูกัน
กฎข้อที่ 1
เราทุกคนประเมินจำนวนคนโง่ที่เวียนวนอยู่ในสังคมน้อยเกินไปเสมอโดยปราศจากข้อยกเว้น
ไม่ว่าเราจะประเมินความโง่ของมนุษย์ไว้สูงเพียงใด เราก็จะพบกับความประหลาดใจเสมอ เพราะ
1. คนที่เราคิดว่าฉลาดและมีเหตุผล กลับกลายเป็นคนโง่ได้อย่างหน้าตาเฉย
2. ในทุก ๆ วัน เราจะพบคนโง่อย่างไม่คาดคิด ในสถานที่ที่ไม่เหมาะ และในจังหวะที่ไม่น่าเป็นไปได้
นั่นจึงทำให้การประเมินสัดส่วนคนโง่ในสังคมเข้าขั้นโหดหิน เพราะไม่ว่าเราตั้งตัวเลขไว้ที่เท่าใด มันก็มักจะต่ำกว่าค่าความเป็นจริงเสมอ
กฎข้อที่ 2
โอกาสที่ใครสักคนจะกลายเป็นคนโง่นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับบุคลิกลักษณะอื่นใดของเขาเลย
เรียกได้ว่าความโง่นั้นเป็นอภิสิทธิ์ของทุกคน ไม่เกี่ยวเลยว่าจะเกิดมาในชนชั้นไหน ผิวสีอะไร ได้รับการเลี้ยงดูและการศึกษาแบบไหน ประกอบอาชีพอะไร สังกัดกลุ่มหรือองค์กรใด ได้รับรางวัลโนเบลหรือไม่ อาศัยอยู่ในประเทศที่พัฒนาแล้วหรือด้อยพัฒนา คุณจะพบคนโง่ในสัดส่วนเท่า ๆ กันหมด (ซึ่งมากกว่าที่คิดเสมอ ตามกฎข้อแรก)
กฎข้อที่ 3 (กฎทอง)
คนโง่คือคนที่สร้างความเสียหายแก่คนอื่นหรือกลุ่มอื่น ทั้งที่ตนเองไม่ได้รับประโยชน์ กระทั่งอาจได้รับความเสียหายด้วยซ้ำ
กฎข้อนี้อาจจะทำให้บางคนเชื่อยากสักหน่อย เพราะคนทั่วไปคงไม่คิดว่ามันมีด้วยเหรือคนที่ทำสิ่งไร้ประโยชน์ทั้งต่อตนเองละคนอื่นแบบนั้นได้ แต่นั่นแหละคือกฎทองอันสำคัญยิ่งยวดที่จะแบ่งแยกว่าใครคือคนโง่อย่างแท้จริง การที่เข้าใจกฎข้อนี้ให้กระจ่างชัดยิ่งขึ้นเราอาจต้องเข้าใจประเภทผู้คนในชีวิตประจำวันที่เราเจอเสียหน่อยว่ามีใครบ้าง ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 4 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้
ประเภทที่ 1 : คนโฉด
คนที่ชอบทำให้ตนเองได้ประโยชน์ แม้คนอื่นจะเสียประโยชน์ก็ตาม
ประเภทที่ 2 : คนกระจอก
คนที่มักจะทำให้ตนเองเสียประโยชน์ แต่คนอื่นได้ประโยชน์
ประเภทที่ 3 : คนฉลาด
คนที่ทำสิ่งใด ๆ เพื่อผลประโยชน์ของทั้งตนเองและผู้อื่น
ประเภทที่ 4 : คนโง่
คนที่ทำสิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์กับใครเลย ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น
แม้ประเภทคนหลัก ๆ จะมีเพียง 4 ประเภท แต่มันยังสามารถแบ่งย่อยได้อีก เช่น คนโฉดแกมโง่ คนกระจอกแกมโง่ คนโฉดแกมฉลาด และคนกระจอกแกมฉลาด ซึ่งสังคมโดยรวมจะดีหรือดับ ขึ้นอยู่กับสัดส่วนของคนโฉดและคนกระจอกนี่แหละว่าไปทางแกมโง่หรือแกมฉลาดมากกว่า
กฎข้อที่ 4
คนไม่โง่มักประเมินอำนาจทำลายล้างของคนโง่ต่ำเกินไป กล่าวให้ชัดก็คือ คนไม่โง่มักลืมเสมอว่าเมื่อพวกเขารับมือและ/หรือข้องแวะกับคนโง่ ไม่ว่าในเวลา สถานที่ หรือโอกาสใด ผลที่ตามมาเป็นความผิดพลาดราคาแพงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นี่เป็นกฎที่มักทำให้คนโฉดผิดพลาดอยู่บ่อย ๆ เพราะหวังว่าจะเอาเปรียบคนโง่ได้เหมือนที่เอาเปรียบคนกระจอก หรือการที่คนฉลาดพยายามจะทำให้ตนและคนโง่ได้ประโยชน์ไปพร้อม ๆ กัน แต่นั่นคือความผิดพลาดอันมหันต์ เพราะนั่นเท่ากับการเปิดโอกาสให้คนโง่ได้แสดงศักยภาพความโง่ออกมาอย่างเต็มที่โดยไม่สนเวลาและสถานที่ทั้งนั้น จากนั้นก็ดึงทุกคนที่เกี่ยวข้องไปสู่หุบเหวของความหายนะในท้ายที่สุด
กฎข้อที่ 5
คนโง่เป็นคนประเภทที่อันตรายที่สุด
ความจริงแล้วคนโง่อันตรายยิ่งกว่าคนโฉดเสียอีก เพราะการกระทำของคนโฉดนั้นคือการเปลี่ยนถ่ายผลประโยชน์จากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งเท่านั้น ทำให้สังคมที่มีแต่คนโฉดย่ำอยู่กับที่ แต่คนโง่นั้นทำให้ผลประโยชน์ของทุกคนหายวับไปกับตา แม้ทุกสังคมมีคนโง่ในสัดส่วนที่เท่า ๆ กัน (ตามกฎข้อที่ 2) แต่สังคมใดจะก้าวหน้าหรือเสื่อมถอยมากกว่ากัน ขึ้นอยู่กับว่าคนในสังคมนั้นยอมให้คนโง่เคลื่อนไหวและกระทำการได้มากน้อยแค่ไหน และมีคนฉลาดคอยถ่วงดุลในสัดส่วนที่พอเหมาะหรือไม่ หากสังคมเต็มไปด้วยคนโง่ แล้วยังได้คนโฉด (แกมโง่) ขึ้นมามีอำนาจเหนือคนกระจอกที่ดันมีจำนวนมากอีก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าองค์กร สังคม หรือประเทศนั้นดิ่งลงเหวแน่นอน
อ่านกฎพื้นฐานทั้ง 5 ข้อแล้วทำให้รู้จักคนโง่ขึ้นบ้างหรือยัง? ส่วนตัวผมได้แต่ทอดถอนใจ เพราะเทคโนโลยีที่คนฉลาดคิดค้นมาเพื่อหวังให้ทุกคนได้ประโยชน์นั้น มีแนวโน้มว่าจะยิ่งให้อำนาจคนโง่ได้โลดแล่นและเฉิดฉายมากกว่ายุคไหน ๆ บางทีก็สงสัยเหมือนกันว่าอนาคตของมนุษยชาติอาจจะอยู่ในเงื้อมมือของคนโง่และคนแกมโง่ทั้งหลายจนทำลายล้างเผ่าพันธุ์ตนเองในที่สุด
“เอ๊ะ แต่นั่นก็อาจเป็นสิ่งที่ดีก็ได้นะ” คนโง่คนหนึ่งคิด
สรุปประเด็นที่หนังสือต้องการสื่อได้ดีค่ะ ส่วนตัวไม่เคยอ่านเล่มนี้แต่พออ่านรีวิวก็เข้าใจคอนเซปท์โดยรวมของเล่ม
บทสรุปของบทความชวนให้ฉุกคิดถึง ปัญญาประดิษฐ์ เมื่อวานเพิ่งอ่านบทความที่บรรดาเว็บไซต์ต่างๆ ออกมาเรียกร้องที่ Google ออกฟังก์ชั่นสรุปผลการค้นหาด้วย AI ทำให้ยอดเข้าชมเว็บไซต์ลดลง
น่าสงสัยมากว่า ยุค AI จะเปลี่ยนโลกไปในรูปแบบไหนกันแน่