Note

“กุยเคล๊อะ” ในความทรงจำ

ท่ามกลางหุบเขาของเมืองพังงาในฤดูฝน สายตาของผมสอดส่องเมนูอาหารเพื่อเลือกอาหารเช้าอยู่ ทันใดนั้นมันก็หยุดอยู่ที่เมนูไข่ลวก ทำให้ผมนึกถึงเหตุการณ์หนึ่งเมื่อนานมาแล้ว นั่นก็คือเหตุการณ์เดินทางไปกุยเคล๊อะ

ย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2554 สมัยที่ยังเป็นนักศึกษาในกรุงเทพฯ ผมได้รับโอกาสให้เป็นทีมงานที่จะไปเผยแพร่อิสลามที่บ้านกุยเคล๊อะ อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก

สิ่งที่ผมรู้คือโครงการนี้เป็นภารกิจที่ริเริ่มโดย “อาก๋ง” อดีตคอมมิวนิสต์ที่รับอิสลามในวัย 60 กว่า แม้อายุมากแล้ว แต่ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนผู้คนให้รับอิสลามเหมือนที่เคยเปลี่ยนผู้คนให้เป็นคอมมิวนิสต์ในอดีต ทำให้อาก๋งลงมือเผยแพร่อิสลามที่นั่นโดยลำพัง

ในเดือนรอมฎอน อาก๋งจะพามุสลิมใหม่เดินทางจากชนบทอันห่างไกลเพื่อมาสัมผัสบรรยากาศอิสลามในกรุงเทพฯ จนทำให้พบกับกลุ่มเยาวชนที่อาสาจะสานต่อภารกิจของอาก๋งขึ้นมา

จากความคิดริเริ่มในวันนั้น ทำให้เกิดคณะเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปกุยเคล๊อะมาแล้วหลายครั้ง ครั้งนั้น ผมถูกเชิญชวนให้เข้าร่วมคณะเดินทางในฐานะผู้บันทึกเหตุการณ์ หรือเรียกง่าย ๆ ว่า “ตากล้อง” นั่นเอง

การเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปกุยเคล๊อะนั้นสาหัสสมกับคำร่ำลือ มันทั้งยาวนานจนปวดเมื่อยและคดเคี้ยวจนมึนหัว ระหว่างทางเราต้องประทังชีวิตด้วยเนื้อทอดอันเย็นเฉียบที่เดินทางจากกรุงเทพฯ มาพร้อมกับเรา แต่ถึงอย่างนั้นผมก็พบความโอชาอย่างหนึ่งท่ามกลางอากาศอันหนาวเย็นของภาคเหนือ นั่นก็คือ “ไข่ลวก”

ไข่ลวกไม่เคยเป็นเมนูโปรดของผมตอนอยู่ภาคใต้หรือกรุงเทพฯ มาก่อน แต่การได้แวะข้างทางเพื่อซดไข่ลวกตอนอากาศหนาว ๆ เปรียบประหนึ่งนักเดินทางที่ร่อนเร่กลางทะเลทรายอันแห้งแล้งและได้พบกับโอเอซิสในยามหิวกระหาย มันช่างอร่อยจนผมยังจำความรู้สึกที่ไข่แดงนุ่ม ๆ ร้อน ๆ เดินทางผ่านลำคอของผมในวันนั้นได้เลย มันคือไข่ลวกที่อร่อยที่สุดในชีวิต (พูดแล้วน้ำตาจะไหล)

เราเดินทางไปกุยเคล๊อะในช่วงวันหยุดปีใหม่ อากาศที่นั่นเย็นกำลังดี พวกเราชาวเมืองนอนห่มผ้าด้วยเสื้อกันหนาวประหนึ่งอยู่ขั้วโลกเหนือ การลุกขึ้นมาอาบน้ำเย็นเฉียบจากโอ่งในยามเช้าไม่ต่างอะไรกับการเอาตัวเองไปเข้าห้องทรมานจนต้องร้องโหยหวน เมื่อผมเห็นเพื่อนร่วมทางประสบชะตากรรมเช่นนั้น การอาบน้ำก็ไม่เคยเป็นทางเลือกของผมอีกเลย 

ผมตัดสินใจห่อตัวเองอยู่ในเสื้อผ้าหนา ๆ เหมือนดักแด้ แม้ดวงอาทิตย์จะโผล่พ้นขอบฟ้าแล้วก็ตาม แต่ผมก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นเด็ก ๆ ที่นั่นใส่ชุดลำลองกับกางเกงขาสั้น ควบเท้าเปล่าวิ่งเล่นและอาบน้ำในลำธารได้อย่างสบาย ๆ ผมถึงกับตระหนักได้เลยว่าคนเมืองอย่างเรานี่โอเวอร์แอคติ้งจริง ๆ (ฮะฮ่าฮ่า)

ในระหว่างทำกิจกรรมที่นั่น ผมก็ทำหน้าที่ถ่ายรูปไปเรื่อย ๆ ข้อดีของตากล้องคือการไม่ต้องอยู่กับที่ สามารถเดินเหินไปมาระหว่างฐานต่าง ๆ ทำให้เห็นภาพรวมว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง และผมก็สังเกตเห็นเด็กคนหนึ่งที่ยืนอยู่คนเดียวเงียบ ๆ นอกวงทั้งหมด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่ผมกลับรู้สึกเข้าใจเด็กคนนี้อย่างพิลึกเหมือนเห็นตนเองอยู่ในนั้น ผมเข้าใจดีว่าการถูกถอดทิ้ง ถูกมองข้าม หรือไม่ได้รับความสนใจนั้นเป็นอย่างไร ผมจึงชวนเด็กคนนี้ให้เดินมากับผม และเขาก็เดินจับเสื้อผมอยู่ใกล้ ๆ ไม่ห่างกาย นั่นทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นจริง ๆ

โดยพื้นฐานแล้ว ผมเป็นคนค่อนข้างเงียบกับคนแปลกหน้า การสนิทกับใครจึงเป็นเรื่องยากสำหรับผม แต่สิ่งหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้จากการอยู่ที่นี่คือ ผมสามารถเข้ากับเด็กได้ดีกว่าผู้ใหญ่ แม้ภายนอกของผมจะฉาบทาด้วยความเงียบขรึม แต่ลึก ๆ ข้างในมีความขี้เล่นแสนซนและอ่อนโยนซ่อนอยู่ ซึ่งสิ่งนี้จะเผยออกมาเมื่อผมได้อยู่กับเด็ก ๆ 

วันคืนผ่านไปอย่างรวดเร็ว เฉกเช่นงานเลี้ยงทุกงานที่ต้องมีวันเลิกรา การเดินทางครั้งนี้ก็มีวันสุดท้ายเช่นกัน แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ผมได้มาอยู่ที่นี่ แต่ก็เพียงพอที่จะทำก็ให้หัวใจของผมรู้สึกเศร้าสร้อยเมื่อต้องจากไป ผมยังจำความรู้สึกในขากลับวันนั้นได้ไม่ลืม ผมเอนกายลงนอนในท้ายรถกระบะพลางเอาผ้าคลุมหน้ากันฝุ่นที่ตีขึ้นมาจากถนน แต่ภายใต้ผ้าบาง ๆ นั้น แก้มของผมรินไหลไปด้วยน้ำตาตลอดทาง

“ผมไม่อยากจากที่นี่ไปจริง ๆ” ผมคิด

ความรู้สึกที่ท่วมท้นในใจของเด็กหนุ่มตอนนั้น ทำให้ผมคิดจะใช้ชีวิตที่เหลือหลังจากเรียนจบอยู่ท่ามกลางหุบเขาและใช้ชีวิตเผยแพร่ศาสนาอย่างสมถะ ผมหาข้อมูลเกี่ยวกับกุยเคล๊อะทุกอย่างเท่าที่หาได้ ทั้งตำแหน่งหมู่บ้าน ชนเผ่าต่าง ๆ รวมทั้งภาษาที่พวกเขาพูดคุย เผื่อวันหนึ่งจะได้กลับไปอีกครั้ง จนกระทั่งดวงอาทิตย์และดวงจันทร์โคจรผ่านไปวันแล้ววันเล่า คลื่นแห่งความจริงก็ค่อย ๆ กัดเซาะฝั่งฝันนั้นจนมลายหายไปอย่างสมบูรณ์ 

อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์จากการเดินทางไปกุยเคล๊อะในวันนั้นได้สอนอะไรหลาย ๆ อย่างให้กับผม ความมุ่งมั่นของชายชราคนหนึ่งที่ต้องการนำพาผู้คนเข้าสู่อ้อมกอดของอิสลามนั้น คอยย้ำเตือนให้ตระหนักถึงบทบาทของเราบนโลกใบนี้ นั่นก็คือการนำพาผู้คนรอบข้างไปสู่วิถีชีวิตอันดีงามไปพร้อม ๆ กับเรา

ไม่ว่าตอนนี้เราจะอยู่ท่ามกลางเมืองใหญ่ หมู่บ้านเล็ก ๆ หรือสันโดษกลางป่า จงพาความงดงามแห่งอิสลามไปพร้อมกับเราเสมอ

จงคอยย้ำเตือนตนเองทุกวันว่า “ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน ที่นั่นต้องดีขึ้นจากการมีอยู่ของเรา”

เช่นเดียวกับไข่ลวกที่อยู่ต่อหน้าผมตอนนี้ที่คอยย้ำเตือนให้ผมนึกถึงช่วงเวลาดี ๆ เหล่านั้นไม่ลืมเลือน

One comment on ““กุยเคล๊อะ” ในความทรงจำ

  1. คิดถึงคนในวันนั้น อยากไปด้วยสักครั้ง

Leave a Reply to Saowalak PrasankanCancel reply