เคยฉุกคิดบ้างไหมว่า ทำไมพอเราโตเป็นผู้ใหญ่แล้วเราจึงกลัวฝนเป็นพิเศษ บางครั้งเราก็กลัวฝนแบบไม่มีเหตุผล ขอแค่เม็ดฝนเริ่มโปรยลงมา แต่ละคนวิ่งหลบฝนกันจ้าละหวั่น หากเป็นเช้าวันทำงานก็ยังพอเข้าใจ แต่หลังเลิกงานหรือวันหยุดนี่สิ ทำไมเราถึงต้องกลัวฝนขนาดนั้น
นึกย้อนกลับไปในวัยเด็ก ตอนนั้นฝนคือสัญลักษณ์แห่งความสุข เวลาทีสายฝนโปรยปรายลงมาคือเวลาที่จะได้ไปสนุกกับเพื่อน ๆ การได้วิ่งไล่จับหรือเล่นฟุตบอลในสายฝน เป็นอะไรที่สนุกสุด ๆ
ยิ่งช่วงฤดูที่ฝนเทลงมาไม่ขาดสาย ทางสัญจรกลายเป็นสายน้ำ เราได้ไปเล่นน้ำฝนกับเพื่อน ๆ หากระสอบมาจับปลา ตัดกิ่งไผ่มาทำเบ็ด ว่ายน้ำในบึงหลังบ้านใครสักคน ปั้นดินเปียกโยนใส่กัน ฟังเสียงฝนตกใส่กระป๋องเป็นจังหวะ ได้ยินเสียงกบที่ก้องกังวาลไปทั่วหมู่บ้าน เหล่านี้เป็นความทรงจำที่ประทับอยู่ในใจไม่รู้ลืม
ฝนคือความสุข
ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า ฝนกลายเป็นความทุกข์ไปตั้งแต่ตอนไหน
ในวัยที่เรียกกันว่า “ผู้ใหญ่” นั้น ดูเหมือนว่าการสัมผัสเม็ดฝนจะเป็นตราบาปที่น่าอับอาย การเดินตากฝนทั้ง ๆ ที่มีให้หลบฝนนั้นคือคนโง่ที่ไม่รู้จักการเอาตัวรอด
เรากลัวเปียกประหนึ่งทั้งชีวิตมีแค่เสื้อตัวเดียวให้สวมใส่ เรากลัวไม่สบายราวกับฝนคือเชื้อไวรัสอันตราย และอีกสารพัดความกลัวที่ดู “สมเหตุสมผล” เสมอสำหรับผู้ใหญ่
หรือความจริง เราแค่สูญเสียความเป็นเด็กในตัวเราไป
เราสูญเสียตัวตนที่เคยมีความสุขกับเรื่องง่าย ๆ
เราสูญเสียมุมมองที่เคยเปลี่ยนปัญหาเป็นความสนุก
เรากลายเป็นผู้ใหญ่ที่จริงจังไปซะทุกเรื่อง
กลัวที่เปียก เลอะ เปรอะเปื้อน หรือมอมแมม
กลัวที่จะดูพ่ายแพ้ หมดรูป กลัวที่จะล้มเหลว
กลัวที่จะ “ไม่ดูเป็นผู้ใหญ่”
คราวหน้า หากเม็ดฝนเริ่มโปรยลงมา ก่อนที่คุณจะก้าวเท้าหนีฝนอย่างรวดเร็ว อยากให้ลองยืนอยู่นิ่ง ๆ สักครู่ เงยหน้ารับน้ำฝนที่หยดลงผิวหนังอันอ่อนนุ่มแล้วปล่อยให้ไหลลงอาบแก้มและเสื้อผ้าที่คุณหวงแหน ปล่อยให้มันเปียก ปล่อยให้มันสัมผัสเนื้อตัวข้างใน และซึมลงไปยังหัวใจ
เผื่อว่าบางที เม็ดฝนหยดเล็ก ๆ นั้นจะปลุกเด็กคนนั้นที่หายไป –– เด็กที่เคยหัวเราะอย่างมีความสุข เมื่อสายฝนโปรยลงมา
เขียนดีเลยค่ะ เก่งมาก
🌟