ทุก ๆ ครั้งเราจะรู้สึกประหนึ่งอยู่บนต้นไม้ใหญ่
รู้สึกดั่งเราเป็นหนึ่งในใบไม้จำนวนมากมายมหาศาลเหล่านั้น
และทุก ๆ ครั้ง ใบไม้ที่อยู่ร่วมต้นเดียวกัน ก็ร่วงหล่นไปทีละใบ..ทีละใบ
จนเราแทบไม่ได้รู้สึกถึงสิ่งใดเลย แค่เรื่องปกติที่เกิดขึ้นจนชาชิน
จนมาถึงขณะนี้ วันที่ใบไม้ในกิ่งเดียวกัน เริ่มปลิวไสวออกไปในสายลม
และร่วงลงลิ่วสู่ผืนดินที่เบื้องใต้ มันทำให้เราต้องหันกลับมามองตนเอง
ว่าเมื่อไหร่หนอ..จะถึงคราเรา
มิใช่ด้วยความรู้สึกที่อยากลงสู่ผืนดิน แต่เป็นเพราะความกลัวที่ไม่อยากนึกถึง
เพราะทุกครั้งที่เราแลเห็น ใบไม้เหล่านั้นที่ร่วงลงไป
พวกเขาต่างสูญสลายไปกับผืนดิน ไม่มีสักใบที่จะกลับมายังต้นไม้อีกครั้ง
แน่นอนมันคือโอกาสแค่ครั้งเดียวในชีวิตเท่านั้นที่เราจะได้อยู่บนกิ่งไม้กิ่งนี้
หากวันใดที่เราร่วงลงไป คงไม่มีวันที่เราจะได้สัมผัสกับแสงแดดลมฝนอีกครั้ง
คิด ๆ ไปก็รู้สึกแปลกใจ ว่าเราเกิดมาบนกิ่งไม้นี้ได้อย่างไร และเกิดมาทำไม
วัน ๆ หนึ่งของเราได้แต่เพียงเอนกายพลิ้งไหวไปกับสายลมเองกระนั้นหรือ
นั่นคือการคิดในมุมแคบที่เรามี แต่หากคิดในมุมกว้าง
เราก็ไม่ได้อยู่บนต้นไม้นี้อย่างเดียวดายสักหน่อย
เรารวมตัวกัน บนต้นไม้ต้นนี้ เพื่อสร้างร่มเงาให้แก่โลกมิใช่หรือ
คิดไป หน้าที่เราก็ช่างยิ่งใหญ่เหมือนกันนะ
ว่าแต่ใบไม้ใบอื่น จะคิดเหมือนเราหรือเปล่าหนอ
หรือเขาคิดเพียงแต่ว่า จะปล่อยตัวเองไปกับสายลมเพียงแค่ความสนุกสนานเท่านั้น
เขาไม่สังเกตใบไม้ที่ร่วงลงไปก่อนหน้านี้หรือไงนะ
ถึงได้ช่างกล้าหาญชาญชัยอะไรปานนั้น
เฮ้อ…ลมช่างเย็นสบายอะไรเช่นนี้
มันช่างทำให้เราเพลิดเพลินเหลือคณา
จนไม่รู้สึกตัวเลยว่า
“เราได้ร่วงลงสู่ผืนดิน เมื่อไหร่กัน?”
หมายเหตุ: เป็นบทความที่เขียนสมัยเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย (ปี 2550-2554)
เราไม่เคยตระหนักถึงแง่มุมนี้มาก่อน ว่าชีวิตคือใบไม้หนึ่งใบ ในต้นไม้ใหญ่หนึ่งต้น
เปิดโลก
ป.ล.สำนวนดี