Note - Review

วันที่ผมเดินถอยหลัง

จงใส่ใจกับสิ่งที่ทำให้คุณกลัว เพราะมันสามารถสอนอะไรคุณได้มากมาย

ก่อนหน้านี้ ผมได้พูดถึงภารกิจพิชิตคอมฟอร์ทโซนเพื่อพาตัวเองก้าวข้ามพื้นที่คุ้นชิน วันนี้ผมจะมาเล่าว่าหลังจากที่ผมทำภารกิจแรกแล้ว ผมรู้สึกอย่างไรบ้าง ซึ่งภารกิจแรกที่ผมต้องทำคือการเดินถอยหลังในพื้นที่สาธารณะ (อะแฮ่ม)

ปกติผมจะออกไปเดินในที่สาธารณะเป็นประจำอยู่แล้ว ประมาณวันละ 40 นาที คิดเป็นระยะทางประมาณ 4 รอบ เท่าที่จำได้ผมก็เคยเห็นคนที่เดินถอยหลังอยู่ครั้งหนึ่ง แต่ก็เป็นระยะทางสั้น ๆ ผมไม่แน่ใจว่าเขาทำภารกิจเดียวกันกับผมอยู่หรือเปล่า แต่ไม่น่าใช่ (ฮ่า ๆ) 

ภารกิจแรกนี้ผมจึงเลือกเช้าวันพุธที่ 30 เมษายนอันสดใสออกไปเล่นในสวนสาธารณะตามปกติ เพียงแต่วันนี้จะเป็นวันที่ผมเดินถอยหลังแทนที่จะเดินไปข้างหน้าเหมือนเช่นเคย 

ผู้คนในวันนี้ไม่ได้มากมายนัก แม้ผมจะรู้ว่านี่เป็นภารกิจท้าทายความคุ้นเคย แต่ในใจผมก็แอบดีใจที่คนไม่เยอะเท่าไหร่ นี่แสดงว่าหน้าผมยังบางอยู่ วันนี้ผมต้องเพิ่มความหนาของมันให้ได้ สัก 0.5 มล. ก็ยังดี

ว่าแล้วผมก็กดแอปบันทึกจำนวนก้าวและเดินถอยหลังไปตามเส้นทางที่คุ้นชิน ข้อดีของการเดินในสวนสาธารณะคือทุกคนเดินไปตามทางเดียวกันเรา ทางเดินที่เท้าของผมก้าวย่างไปเป็นยางมะตอยที่มีเส้นสีขาวตีเป็นแนวไว้ อย่างน้อยผมก็ไม่ต้องกลัวว่าจะเดินชนกับอะไรเข้าอย่างจัง 

“การเดินถอยหลังที่มันช้ากว่าที่คิดแฮะ” ปกติผมจะเดินเร็ว ๆ และแซงคนอื่นเป็นว่าเล่น แต่ครั้งนี้ผมกลับโดนคนอื่นที่เดินช้า ๆ แซงผมขึ้นไปทีละคนสองคน ผมสังเกตเห็นว่าบางคนมองดูผมอยู่ด้วย สายตาของเขาที่จ้องเข้ามาในดวงตาของผมนั้น ทำให้ผมต้องหันไปทางอื่นเพื่อตั้งหลักก่อนชั่วคราว เมื่อผมหันกลับไปมองเขาอีกรอบ ผมเห็นเขาหันไปพูดคุยกับเพื่อนแล้ว ผมจินตนาการเอาเองว่าบทสนทนาคงเป็นการตั้งคำถามว่า “ไอ้นี่ มันเดินถอยหลังทำไมวะ แปลกคน” แม้ความจริงเขาอาจจะคุยเรื่องอื่นอยู่ก็ตาม นี่คือการคิดเข้าข้างตนเองว่าเรามักจะเป็นที่สนใจของคนอื่น ทั้ง ๆ ที่คนอื่นเขาไม่ได้สนใจเราขนาดนั้น 

แม้ความเขินอายจะบอกให้ผมเดินหน้าแบบปกติซะ แต่ผมก็ยังคงเดินถอยหลังไปเรื่อย ๆ จนเกือบจะครบรอบ ผมเห็นกลุ่มเพื่อน 5-6 คนเดินมาไกล ๆ หนึ่งในนั้นทำท่าเดินถอยหลังอยู่ครู่หนึ่ง ผมทึกทักเอาเองว่าเขาคงอยากรู้มั้งว่าการเดินถอยหลังมันรู้สึกยังไง ผมถึงได้เดินถอยหลังอยู่แบบนั้น

เมื่อเดินถอยหลังครบ 1 รอบถ้วน (ประมาณ 800 ม.) ผมรู้สึกเลยว่าเท้ามันเกร็งกว่าที่คิด มันเหมือนเราเดินลงเขาตลอดเวลา หลังจากนั้นผมเปลี่ยนเป็นวิ่งเหยาะ ๆ ไปข้างหน้าอีก 2 รอบ และปิดท้ายด้วยการเดินถอยหลังอีก 1 รอบ ครบ 4 รอบตามจำนวนก้าวที่ผมตั้งเป้าไว้ การเดินถอยหลังครั้งที่ 2 นี้ผมรู้สึกเลยว่าหน้าผมหนาขึ้นอีกนิดนึงจริง ๆ ผมไม่ค่อยสนใจแล้วว่าคนอื่นจะมองหรือพูดอะไร ถ้าผมอยากเดิน ผมก็แค่เดิน และบางช่วงที่ผมเห็นนักวิ่งมาไกล ๆ ผมก็ลองวิ่งถอยหลังดูบ้าง ปรากฎว่ามันก็พอวิ่งได้นี่หว่า (คราวหน้าภารกิจวิ่งถอยหลังต้องมาแล้ว)

บทเรียนที่ได้รับคือ มนุษย์เราไม่ได้ถูกออกแบบมาให้เดินถอยหลังจริง ๆ เพราะมันเดินลำบากกว่ากันมาก ต่อให้มีตาข้างหลังไว้มองทางมันก็ยังลำบากอยู่ดี นี่ขนาดจะจบภารกิจมาแล้วสามสี่วัน ฝ่าเท้าของผมก็ยังเมื่อยอยู่ 

หากจะคิดในมุมมองของศาสนาสักหน่อย การออกแบบและจัดวางอวัยวะต่าง ๆ บนร่างกายเรามันช่างสอดคล้องกันจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งของตา หู จมูก ปาก มือ เท้า และข้อพับต่าง ๆ คือถูกจัดวางไว้ให้เราเดินไปข้างหน้าและมีมุมมองที่ให้ความสำคัญต่อสิ่งที่อยู่ข้างหน้าของเราเป็นหลัก แค่ได้ลองคิดว่าหากอวัยวะใดอวัยวะหนึ่งถูกวางกลับด้านหรือเราลองใช้ชีวิตในแบบเดินถอยหลัง ทำกิจกรรมจากมุมมองด้านหลังเป็นหลัก เราคงใช้ชีวิตอย่างสับสนและลำบากพิลึก แค่ความปกติสามัญที่เราพบเจอในชีวิตประจำวันนี้เอง ก็เพียงพอแล้วที่จะให้เรารับรู้ถึงการมีอยู่ของผู้สร้างและขอบคุณในความเมตตาต่าง ๆ ที่ได้รับมา

One comment on “วันที่ผมเดินถอยหลัง

  1. อย่าวิ่งถอยหลังเลย มันอันตราย ระวังจะหกล้ม

คิดเห็นอย่างไร บอกเราที่นี่นะ